ฉันมองบานประตูที่เหมือนในความทรงจำ นี่คือสถานที่ที่ฉันใคร่ครวญตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เป็นความศรัทธาที่ค้ำจุนฉันให้ผ่านค่ำคืนที่นอนไม่หลับนับไม่ถ้วนภายในคุก
ฉันอยากผลักเปิดประตูบานนี้อีกเหลือเกิน แล้วเดินไปหาคนในครอบครัวฉัน
ดูโทรทัศน์ กินข้าวและพูดคุยกับพวกเขา
แม่ฉันจะโอบกอดฉันในอ้อมแขน
น้องชายฉันจะเอาอาหารว่างที่ฉันชอบมาให้ฉัน
แม้ว่าจะเป็นคุณพ่อที่เข้มงวดที่สุดในยามปกติ ก็จะเป็นห่วงฉันเงียบๆ
ความทรงจำอันอบอุ่นในอดีตหลั่งไหลมาหาฉันเหมือนกระแสน้ำขึ้นฝั่ง
แม้ว่าโลกภายในประตูจะกลายเป็นขุมนรกไปแล้ว
ฉันก็ยังยกมือขึ้นกดกริ่งอยู่ดี
"ดิ้งด่อง"
ประตูเปิดแล้ว สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาคือใบหน้าอันคุ้นเคยของคุณแม่
บนหน้าไร้ความใจดีมีเมตตาในอดีตเหลือเพียงความหวาดผวาลนลาน และความรังเกียจที่สังเกตได้ยาก
"แม่ ฉันกลับมาแล้ว"
ฉันเอ่ยปากทำลายความเงียบงัน เธอถึงรีบฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
ปากพูดว่าสงสารฉัน แต่การแสดงออกทางสีหน้ากลับมีความกังวลใจที่ลอยอยู่บนพื้นผิวเท่านั้น
"อ้าว ลูกกลับมาแล้ว ผอมไปไม่น้อยเลย ลำบากลูกมากจริงๆ"
เธอขวางหน้าประตูเหมือนไม่อยากให้ฉันเข้าไป
ฉันตะแคงร่างเข้าไปในบ้าน เธอรีบร้อนขยิบตาให้น้องสะใภ้ฉัน
พูดเสียงดังลั่นไปยังห้องรับแขก "เร็วเข้า พลอยกลับมาแล้ว"
น้องสะใภ้ฉันรีบสวมหน้ากากอนามัยพลางชูแอลกอฮอล์ขวดหนึ่งพ่นใส่ฉันอย่างบ้าคลั่ง พืชสีเขียวช่อใหญ่ก็ฟาดใส่อย่างแค้นเคือง
การเคลื่อนไหวเธอเร็วเหลือเกินจนฉันไม่ทันตอบสนอง ก็รู้สึกถึงความเจ็บของกิ่งใบขูดผิวหนังและกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจมูก
หลังจากเคลื่อนไหวหนึ่งรอบ เธอก็หันไปยัดของในมือใส่ในถังขยะอีกครั้ง
ก่อนจะยกมุมปากพูดขึ้นเรื่อยเปื่อย
"นี่เป็นการขจัดเคราะห์ร้ายให้พี่ พี่คงไม่อยากเอาสิ่งสกปรกเข้ามาในบ้านแล้วเกิดผลกระทบต่อหลานชายพี่หรอกนะ"
ฉันถึงเห็นท้องน้องสะใภ้ที่ตั้งครรภ์อย่างเห็นได้ชัด
ที่แท้ขณะที่ฉันติดคุกแทนเธอ
รับผิดโทษฐานฆาตกรรมแทนเธอ
เธอกลับเพลิดเพลินความหรรษาในครอบครัวอย่างเต็มที่
ฉันมองเธอแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร แค่เดินไปยังห้องที่เป็นของฉันแต่เดิม แต่สิ่งที่สะท้อนในม่านตาคือห้องเก็บของห้องหนึ่ง
สิ่งของของฉันอันตรธานหายไปหมดแล้ว
ฉันหันศีรษะกลับไปมองทั้งสามคนด้านหลัง "นี่มันเรื่องอะไรกันฮะ"
น้องสะใภ้ฉันแคะเล็บอย่างใจเย็นไม่รู้สึกรู้สา
น้องชายฉันขมวดคิ้ว
แม่ฉันเอ่ยปากอย่างละอายใจ "คือว่า เธอไม่ได้กลับมานานขนาดนั้น ในบ้านพื้นที่แคบ เลยเก็บในห้องเธอชั่วคราว"
"แล้วของของฉันล่ะ?"
"โธ่ ก็เคลียร์ห้องไม่ใช่หรือเหรอ อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอยังใช้หรือไม่ใช้ บ้างก็ขายบ้างก็ทิ้งไปแล้ว"
น้ำตาฉันไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เสียงที่พูดเจือสะอื้นไห้สั่นระริก
"พวกคุณก็รู้ว่าฉันเข้าไปเพราะอะไร ฉันแค่ติดคุก ไม่ได้ตาย!"
เผชิญกับการซักถามและความแค้นใจของฉัน พ่อฉันที่นิ่งเงียบมาตลอดก็วางมาดเจ้าบ้านครอบครัว
"น้องสะใภ้แกท้องตั้งห้าเดือนแล้ว แค่เคลียร์ของห้องที่แกไม่อยู่ทำเป็นห้องเด็กอ่อนเฉยๆ จะโหวกเหวกโวยวายทำไม? ของพวกนั้นที่แกไม่ได้ใช้ทิ้งแล้วก็ทิ้งไปสิ"
ได้ยินคำพูดของพ่อฉัน ความหวังสุดท้ายอันน้อยนิดที่ฉันมีต่อครอบครัวนี้ก็หายไปหมดสิ้น
เห็นสีหน้าเมินเฉยของพ่อฉัน
ในสมองฉันนึกถึงครั้งหนึ่งที่เขาเคยพูดกับฉันอย่างเคร่งขรึม
บอกว่าจะเก็บสะสมของขวัญเกิดทุกปีของฉันเอาไว้
ในงานแต่งฉันจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าหญิงน้อยของเขาเติบโตอย่างไร
แต่ว่าตอนนี้ กลายเป็นของไร้ประโยชน์แล้ว งั้นเหรอ?
เดิมทีฉันนึกว่าหลังจากเห็นท่าทีน้องสะใภ้และแม่ฉันแล้ว หัวใจฉันจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
แต่ฉันลืมไป คนในครอบครัวก็คือการดำรงอยู่บนโลกนี้ที่สามารถทำให้คุณสิ้นหวังแล้วสิ้นหวังอีก ใจสลายแล้วใจสลายอีก
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามขึ้น
"แล้วฉันจะพักที่ไหนล่ะ?"
แม่ฉันได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากับน้องสะใภ้ฉันครู่หนึ่ง ควักเงิน 1000 บาทโยนบนโต๊ะชา แล้วบอกฉันว่า
"อะนี่ เธอเอาเงินนี่ไปหาโรงแรมหรือห้องเช่า ได้หมด"
น้ำเสียงเฉยชาแม้กระทั่งเสแสร้งก็ไม่เสแสร้งแล้ว
ฉันไม่ได้มองเงินบนโต๊ะ
สายตากวาดมองไปมาบนหน้าคนในครอบครัวทั้งสี่ของฉัน
"น้องชาย"
ฉันมองเขา
"นายก็ต้องการแบบนี้เหรอ นายก็รู้ ตอนแรกที่ฉันเข้าไปก็เพราะนายทั้งนั้น……"
ฉันยังพูดไม่จบก็ถูกน้องชายฉันขัดจังหวะ
"พลอย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าเอาแต่พูดถึงมันเลย แต่พี่ยืนกรานจะอยู่ที่บ้าน ฉันก็ไล่พี่แท้ๆ ของฉันออกไปไม่ได้เหมือนกัน"
คำตอบน้องชายฉันทำให้ฉันเบ้าตาร้อนผะผ่าว
ฉันยิ้มเหมือนแต่ก่อนพลางเข้าไปดึงแขนเขา
"อืม! ขอบใจนะน้อง งั้นฉันขออาศัยสักพักก่อนละกัน"
แต่มือที่ฉันดึงเขากลับวืดอากาศ เมื่อฉันมองไปยังเขาด้วยความสงสัย ก็เจอกับดวงตาคมมีดอำมหิตของน้องสะใภ้ฉัน
ส่วนสีหน้าท่าทางของน้องชายฉันก็เหมือนกับกินอึอย่างไรอย่างนั้น
น้องสะใภ้ฉันมือหนึ่งเท้าเอวอีกมือหนึ่งชี้ฉันพร้อมพูดขึ้น
"พลอยชนก นี่พี่ติดคุกจนสมองเพี้ยนไปแล้วใช่ไหม คนโตๆ แบบพี่ทำไมยังกล้าอาศัยอยู่ในบ้านคนอื่นไม่ยอมไป?"
ฉันโกรธจัดแต่กลับขำออกมา ชี้ใบหน้าตนแล้วถามเธอ
"น้องสะใภ้ ตอนแรกฉันทำเพื่อใครล่ะ อีกอย่างที่นี่ทำไมถึงเป็นบ้านคนอื่น เงินมัดจำ เงินดาวน์ของบ้านหลังนี้ ตรงไหนไม่มีส่วนของฉัน?"
ฉันมองน้องชายฉันที่ไม่คิดจะเสริมคำพูดแล้ว แล้วหันไปหาพ่อฉันที่นั่งสูบบุหรี่บนโซฟาอยู่ตลอด
"พ่อ……"
พ่อฉันสูบบุหรี่แรงๆ อีกหนึ่งครั้ง แล้วพูดขึ้น "บ้านหลังนี้ตอนนี้เป็นของน้องสะใภ้แกแล้ว พวกเขามีอำนาจตัดสินใจ"
ฉันมองไปที่น้องสะใภ้ฉันอีกครั้ง น้องชายฉันยังคงขมวดคิ้ว ทำท่าระทมทุกข์และเศร้าเสียดาย
น้องสะใภ้ฉันก้าวออกมาอย่างหยิ่งยโสอีกครั้ง
"ได้ยินแล้วใช่ไหม บ้านหลังนี้ตอนนี้เป็นของฉัน ฉันไม่อยากให้คนแบบพี่เข้ามาอาศัย ไม่ต้องมองน้องชายพี่ ความต้องการของฉันก็คือความต้องการของเขา รีบไสหัวไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจมาจับพี่"
ในบ้านเงียบเป็นเป่าสาก ฉันมองไปรอบๆ คนในครอบครัวที่ฉันทุ่มเทเงินทอง อิสรภาพ แม้กระทั่งอนาคตทั้งชีวิตให้ ในใจเกินกว่าความแค้นเคืองกลายเป็นความเศร้ารันทด
ฉันหัวเราะขมขื่นหนึ่งที แล้วเอ่ยปากอย่างยากลำบาก "ที่ฉันทุ่มเทให้ครอบครัวนี้ยังไม่มากพองั้นเหรอ ทำไมพวกคุณถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? ตกลงมันผิดพลาดตรงไหน?"
น้องสะใภ้ฉันรีบพูดด้วยเสียงหาเรื่อง
"จะผิดก็ผิดตรงที่ตอนนี้พี่ไร้ประโยชน์แล้วไง! เมื่อก่อนพี่หาเงินได้ เสริมค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ ตอนนี้พี่ก็แค่ฆาตกรคนหนึ่ง จะมีประโยชน์อะไรได้? อย่าว่าแต่หาเงิน ตอนนี้พี่แต่งงานก็คงไม่ได้สินสอดด้วยซ้ำ อยู่ในบ้านก็มีแต่จะดูดเลือดเกาะคนอื่นกิน"
"ใช่ ฉันรู้ว่าพี่สละชีวิตเพื่อครอบครัวอยู่บ้าง แต่พี่ลองคิดดูนะ ตอนนี้พี่อยู่บ้านนอกจากจะทำให้พวกเราเดือดร้อน แล้วยังมีประโยชน์อะไรอีก ถ้าพี่คำนึงถึงครอบครัวจริง ก็ควรรีบออกไปจากที่นี่ซะ"
เธอพูดพลางยู่ปากไปยัง 1000 บาทที่ทิ้งไว้บนโต๊ะชา
แม่ฉันก็พูดขึ้นตาม
"พลอยเอ๊ย น้องสะใภ้เธอก็พูดจามีเหตุผล หลายคนก็หลายปาก อีกอย่างน้องสะใภ้เธอจะคลอดอยู่แล้ว ตามหลักการแล้วเลี้ยงดูหลานชายก็เป็นป้าอย่างเธอนี่แหละควรลงแรง แต่สถานการณ์ของเธอเราก็ไม่ร้องขอให้เธอทำอะไรละ เธอเอาเงินนี่รีบออกไปเลี้ยงดูตัวเองเถอะ"
"แม่ ฉันก็เป็นลูกสาวแม่เหมือนกันนะ"
หลังจากความคับแค้นใจจางหาย ฉันก็กลายเป็นใจเย็นแทน
"พลอย เธอก็รู้นี่ว่าเธอเป็นลูกสาวฉัน สภาพเธอตอนนี้แม้แต่สินสอดก็หามาให้ครอบครัวไม่ได้เลย หลายปีมานี้ฉันเลี้ยงเธอไปเสียเปล่า รีบไปซะเถอะ อย่าสร้างปัญหาให้ฉันเพิ่มเลย"
"ฉันสร้างปัญหาเพิ่ม? ตอนฉันให้เงินเดือนทุกเดือน ให้พวกคุณไปจ่ายเงินมัดจำ เงินดาวน์บ้านทำไมไม่บอกว่าฉันสร้างปัญหาล่ะ?"
น้องชายฉันที่เงียบอยู่นานก็กระแอมไอเบาๆ
"พลอย ฉันรู้ว่าพี่เคืองในใจ แต่ช่วงที่พี่ติดคุก เราก็ชีวิตแย่เหมือนกันนะ ที่บ้านมีฆาตกร เราไปที่ไหนก็ถูกคนติฉินนินทา ถ้าพี่อาศัยที่บ้านจริงๆ พี่ลองคิดดูว่าพ่อแม่แก่ปูนนี้แล้วจะไปเจอหน้าคนยังไง พอลูกชายฉันเกิดมาก็ถูกคนชี้หน้าเรียกว่าไอ้ลูกของครอบครัวฆาตกรเหรอ?"
"ทำไมพี่ไม่คำนึงถึงพวกเราบ้าง?"
ฉันมองเขาที่ทำท่าอันชอบธรรมมีเหตุผล แค่รู้สึกน่าขัน "พิชิต นายอย่าลืมสิ ฆาตกรตอนนั้นคือเมียนายนะ"
"คนที่ทำให้ในบ้านอับอายขายขี้หน้าก็คือเมียนาย"
"ถ้านายคำนึงถึงคนในครอบครัวซะขนาดนี้ ก็ควรให้เมียนายเสนอตัวยอมรับผิด ไม่ใช่ให้ฉันรับผิดแทน"
สามปีก่อน น้องสะใภ้ฉันขับรถฉันบนทางด่วนมีปากเสียงกับใครสักคน ระหว่างทะเลาะก็ผลักอีกฝ่ายไปตรงหน้ารถบรรทุกคันหนึ่ง จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
พวกเขาอ้อนวอนฉัน ให้ช่วยเก็บสายเลือดเมล็ดพันธุ์ตระกูลเชาวกรกุลไว้ด้วย
บอกว่าสุขภาพ การงานน้องชายฉันไม่ดี อุตส่าห์หาน้องสะใภ้ที่ยินยอมแต่งงานกับเขาได้ ถ้าน้องสะใภ้ติดคุกออกมาเขาก็พลาดวัยเจริญพันธุ์ไปแล้ว
น้องชายฉันเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว และดีกับฉันมาก บวกกับน้ำตาของคุณแม่ คำวิงวอนของน้องสะใภ้ ฉันจึงใจอ่อนยอมแลกตัวเองกับชีวิตในคุกสามปี
ในตอนนั้น พวกเขาดึงมือฉัน พูดสะอึกสะอื้นและด้วยความจริงใจว่าฉันคือผู้มีคุณงามความดียิ่งใหญ่ของตระกูลเชาวกรกุล
ตอนนี้ พวกเขาจ้องถมึงทึงฉัน ราวกับฉันเป็นสิ่งสกปรกบางอย่างที่หลบหลีกไม่ทัน
ปีนั้นฉันแบกรับทุกอย่าง ควักเงินออมทั้งหมดจนหมด ไปชดเชย กล่าวขอโทษ รับผิดทุกคำขู่และคำด่าประจานแทน และหายนะติดคุกเป็นเวลาสามปี
ฉันนึกว่ามันคุ้มค่า ตอนนี้ดูท่าแล้วเป็นฉันที่มองคนในครอบครัวทั้งหลายที่เลือดข้นกว่าน้ำผิดไปสินะ
ฉันเงยศีรษะฝืนน้ำตากลับไป แล้วจ้องมองพวกเขาอย่างเคียดแค้น
พ่อฉันเหมือนไม่ชอบแววตาฉัน จึงตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น
"พลอยชนก ที่บ้านเลี้ยงแกมาโตขนาดนี้ไม่ใช่ให้แกมาเนรคุณนะ!"
"คนในบ้านพูดกับแกตั้งมากมาย ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? แกติดคุกมาสามปี เรายังต้องใช้ชีวิต หรือจะปล่อยให้แกสร้างความอับอายให้ครอบครัวอยู่ตลอดเหรอ?"
แม่ฉันก็สนับสนุนตาม
"พลอย เธอเป็นเด็กที่รู้เหตุรู้ผลมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเข้าคุกไปไม่กี่ปีก็เลอะเลือนซะแล้ว ผู้หญิงน่ะต้องแต่งงานมีลูกไม่ใช่เหรอ เดิมทีฉันกับพ่อเธอวางแผนจะหาคนดีๆ ให้เธอแต่งงานด้วย สินสอดที่ได้รับก็ถือเป็นการตอบแทนข้าวแดงแกงร้อน แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นฆาตกรแล้ว จะมีใครแต่งงานกับเธออีก เราไม่คิดหยุมหยิมที่เธอนำสินสอดมาให้ไม่ได้แล้ว ให้เธอเข้าประตูบ้านหลังนี้มาก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เราแม่ลูก"
น้องชายฉันก็พูดขึ้นเสียงเข้มงวด "ถูกต้อง เรื่องพี่ช่วยเมียผมรับผิดแทน ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้เราก็กล่าวขอบคุณพี่ไปแล้ว"
"นั่นสิ" น้องสะใภ้ฉันลูบท้องพลางพูดขึ้น "แต่ก่อนฉันก็ซาบซึ้งพี่จากใจจริง แต่ตอนนี้พี่ดื้อดึงไม่ยอมไป เพราะตัดสินใจจะขูดเลือดขูดเนื้อคนในครอบครัวไม่ใช่เหรอ อีกอย่างนะ ถ้าพี่ไม่ไป หลานคนโตตระกูลเชาวกรกุลของเราจะออกไปอยู่ที่ไหน?"
ฟังน้ำเสียงเหยียดหยามของเธอ ราวกับว่าฉันเป็นคนหน้าด้านเหลือทน มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเสียเลย
พ่อฉันก็เดินมา ปาเงินหนึ่งพันบาทนั้นลงบนโต๊ะอีกครั้ง
"เงินก็ให้แกแล้ว ประตูบ้านก็ให้แกเข้ามา แกยังจะเอาอะไรอีก ขืนยังไม่ไปฉันจะถือว่าฉันไม่เคยคลอดลูกสาวอย่างแกออกมา!"
แต่ละประโยคของพวกเขา ทุกถ้อยคำล้วนเหมือนมีดชุบพิษเฉือนใส่ฉันอย่างไรอย่างนั้น
แต่หลังจากได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา
ฉันก็สวมเสื้อเกราะให้ตนเองแล้ว
ฉันเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น "มิน่าล่ะ สองสามปีมานี้ไม่มีจดหมายสักฉบับเดียวจากพวกคุณ และไม่เคยมาเยี่ยมฉัน"
ดูท่าจะคิดว่าฉันไร้ประโยชน์ตั้งนานแล้ว หาเงินไม่ได้ ก็ไล่ฉันออกจากบ้าน
ฉันกวาดตามองใบหน้าพวกเขาที่มีความร้อนใจ โกรธเคือง หรืออะไรยังไงก็ได้ แล้วเอ่ยเน้นทีละคำ
"ฉันขอถามเป็นครั้งสุดท้าย บ้านหลังนี้จะไม่ให้ฉันอยู่ ใช่ไหม?"
"ใช่!" คราวนี้คนที่ตอบคือพ่อฉัน
อีกสามคนก็มีสีหน้าเฉยเมยและเด็ดเดี่ยว ราวกับฉันเป็นศัตรูของพวกเขา
"ได้ ได้ ได้ ตามที่พวกคุณต้องการ ฉันจะไป"
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราตัดขาดกัน"
"หวังว่าพวกคุณอย่าเสียใจภายหลังละกัน"
น้ำเสียงไม่แยแสของฉันอาจไปยั่วโทสะน้องสะใภ้ฉันเข้า เธอตะโกนลั่นใส่แผ่นหลังฉันที่เดินจากไป
"แกก็อย่าให้ความสำคัญกับตัวเองนักเลย กะอีแค่ฆาตกรที่จะยากจนไปตลอดชีวิต มีอะไรให้เสียใจภายหลัง!"
"เก็บเศษเดนสังคมอย่างแกขูดเลือดเกาะคนอื่นกินไว้ในบ้าน เนี่ยสิถึงเสียใจภายหลังของจริง!"
เมื่อหันตัวไป น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลงมาจากหางตา
ปล่อยให้น้ำตาอุ่นไหลลงมาจากใบหน้าเยือกเย็นของฉัน
นี่คือความอบอุ่นน้อยนิดสุดท้าย น้ำตาหยดสุดท้ายที่ฉันมีต่อครอบครัวนี้
หลังจากน้ำตาหยดนี้ กับครอบครัวนี้ จะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป